ทำให้เกิดอาการบวมเคลื่อนที่ (Migratory swelling) ขึ้นตามตำแหน่งที่พยาธิอยู่ เกิดการบวมแดง คันและเจ็บจี๊ดอย่างรุนแรงขึ้นใต้ผิวหนัง หากเคลื่อนไปที่ลูกตาจะทำให้เกิดแผลขึ้นที่กระจกตา ถ้าเคลื่อนไปที่ปอดจะทำให้ปอดและเยื่อหุ้มปอดอักเสบ และชอนไชเข้าไปถึงสมองจะทำให้เนื้อสมองบวมอักเสบ
การเขียนเรื่องของพยาธิตัวจี๊ดกับการฉายรังสีอาหารนี้ มีวัตถุประสงค์อยู่ 2 ประการด้วยกัน คือ
ข้อแรก ต้องการบอกให้ทราบว่าโรคที่เกิดจากพยาธิตัวจี๊ดเรียกว่า Gnathostomiasis ไม่ใช่ Trichinosis หรือ Trichinellosis เพราะพบบทความเกี่ยวกับอาหารฉายรังสีกล่าวถึงการใช้รังสีแกมมากำจัดพยาธิที่ทำให้เกิดโรค Trichinosis ว่าเป็นโรคพยาธิตัวจี๊ด รวมทั้งในงานประชุมวิชาการการเกษตรแห่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการฉายรังสีอาหาร กล่าวถึงโรค Trichinosis ในสุกรและเข้าใจกันไปว่าเป็นโรคพยาธิตัวจี๊ดเช่นกัน ทั้งนี้เข้าใจว่าเกิดจากพจนานุกรม อังกฤษ-ไทย บางเล่มให้ความหมายไว้ไม่ถูกต้อง กล่าวคือให้ความหมายไว้ว่า Trichinosis หมายถึงโรคที่เกิดจากพยาธิตัวจี๊ด ซึ่งทำให้ผิดความหมายไป ผู้แปลที่ไม่ทราบที่มาของโรคนี้ก็จะแปลผิดไปตามพจนานุกรมนั้น
โรค Trichinosis หรือ Trichinellosis คือ โรคพยาธิกล้ามเนื้อ เป็นโรคที่เกิดจากพยาธิตัวกลมประเภทหนึ่งอยู่ในสกุล Trichinella. โดยเฉพาะ Trichinella spiralis โดยทั่วไปโรคนี้มักพบในสัตว์ป่ากินเนื้อ (Meat-eating) แต่อาจพบในสุกรที่เลี้ยงตามบ้านได้เช่นกัน การติดต่อของโรคนี้เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ที่มีตัวอ่อนของพยาธิและเนื้อสัตว์นั้นผ่านการปรุงแบบสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ลาบ หลู่ และแหนมดิบ ทำให้ตัวอ่อนของพยาธิเข้าสู่ร่างกายคนได้ โดยเฉพาะเนื้อสุกรของชาวเขาและสุกรป่า อาการของโรคในคน ระยะแรก ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย อาเจียน มีไข้ และรู้สึกไม่สบายภายในท้อง ต่อมาจะมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ หนาวสั่น หนังตาบวม ปวดข้อและกล้ามเนื้ออย่างเฉียบพลัน ในรายที่รับเชื้อเข้าไปมาก ๆ ผู้ป่วยอาจมีปัญหาการทำงานของหัวใจและการหายใจผิดปกติถึงขั้นเสียชีวิตได้
ข้อสอง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฉายรังสีอาหารโดยตรง คือ การใช้วิธีการฉายรังสีเพื่อกำจัดพยาธิที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร เนื่องจากพยาธิ 2 ชนิดดังกล่าว มีความทนทานต่อรังสีแกมมาแตกต่างกันมาก ดังนั้นปริมาณรังสีที่ใช้เพื่อกำจัดมันจึงแตกต่างกัน
การฉายรังสีอาหารเพื่อกำจัดพยาธิ Gnathostoma spinigerum ที่ทำให้เกิดโรค Gnathostomiasis ต้องใช้ปริมาณรังสีถึง 8 กิโลเกรย์ จึงจะทำลายความสามารถในการทำอันตราย (Infectivity) ของพยาธิชนิดนี้ได้ ข้อมูลดังกล่าวได้มาจากการศึกษาวิจัยของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับกองวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ เรื่องผลของรังสีแกมมาจากโคบอลต์-60 ต่อตัวอ่อนระยะติดตามของพยาธิตัวจี๊ด(1)ความสามารถในการทนต่อปริมาณรังสีได้สูงขนาดนี้ นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก ๆ คือ สามารถทนต่อปริมาณรังสีสูงพอ ๆ กับแบคทีเรียที่สร้างสปอร์ (Spore forming bacteria) โดยทั่วไปแล้วความทนทานต่อรังสีของสิ่งมีชีวิตมักจะจะแปรผกผันกับขนาดของสิ่งมีชีวิตนั้น กล่าวคือ สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ (การดำรงอยู่ของเซลล์จะยิ่งซับซ้อน) จะทนต่อรังสีได้น้อยกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็ก (สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว) เช่น พยาธิทนรังสีได้น้อยกว่าแบคทีเรีย และแบคทีเรียทนรังสีได้น้อยกว่าไวรัส
สำหรับการฉายรังสีอาหารเพื่อกำจัดพยาธิ Trichinella spiralis ที่ทำให้เกิดโรค Trichinosis ใช้ปริมาณรังสีเท่ากับ 0.15 กิโลเกรย์ ก็สามารถป้องกันไม่ให้ทำอันตรายแก่คนได้แล้ว(2,3) และปริมาณรังสี 0.3 กิโลเกรย์ สามารถกำจัดพยาธิชนิดนี้ได้(4) ซึ่งจะเห็นได้ว่าปริมาณรังสีที่ใช้เพื่อกำจัดพยาธิที่ก่อโรค Gnathostomiasis สูงกว่าพยาธิที่ก่อโรค Trichinosis หลายสิบเท่า
เอกสารอ้างอิง |