เมื่อปี ค.ศ. 1830 หรือราว ๆ นั้น ส่วนของโมเลกุลที่เคลื่อนที่นี้ ได้รับการขนานนามว่า ไอออน (ion) โดยนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษชื่อว่า ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) (ตามคำแนะนำของปัญญาชนชื่อว่า William Whewell) จากคำกรีกว่า ienai ซึ่งหมายถึง ไป ส่วนคำกรีก ion นั้น แปลว่า การไป โดยสรุปก็คือ ส่วนของโมเลกุลที่ว่านี้ ถ้าไม่ไปที่ขั้วหนึ่ง ก็ต้องไปที่อีกขั้วหนึ่ง พวกที่ไปยังแคโทดเรียกว่า แคทไอออน (cathion) ส่วนพวกที่ไปยังแอโนดก็เรียกว่า แอนไออน (anion) (สังเกตว่าทั้งสองคำนี้ต้องออกเสียงเป็น 3 พยางค์) แต่ ไอออน คืออะไรแน่ ยังคงเป็นปริศนาอยู่นานอีกราว 50 ปี
จากนั้น ในปี ค.ศ. 1884 นักเคมีเชิงฟิสิกส์อายุ 25 ปีชาวสวีเดนชื่อว่า สวันเต เอากุสต์ อาร์เรเนียส (Svante August Arrhenius) ได้เสนอวาทนิพนธ์ (dissertation) ต่อมหาวิทยาลัยแห่งอัปป์ซาลา (The University of Uppsala) ซึ่งเขาหวังว่าจะได้รับดีกรีปริญญาเอก โดยได้เสนอว่า ภายใต้อิทธิพลของกระแสไฟฟ้า โมเลกุลจะแตกตัวเป็นอะตอมหรือกลุ่มของอะตอมที่มีประจุ พวกที่มีประจุลบคือแอนไอออนจะถูกดูดไปยังขั้วไฟฟ้าบวก ขณะที่พวกที่มีประจุบวกคือแคทไอออนก็ถูกดูดไปยังขั้วไฟฟ้าลบ
แต่ทว่าในยุคนั้นไม่มีนักเคมีคนใดเคยได้ยินกันมาก่อนว่า อะตอมอะไรจะมีประจุไฟฟ้าได้ ทฤษฎีของเขาถูกมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหลและเขาได้รับปริญญาด้วยคะแนนผ่านที่ต่ำที่สุด อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1903 อาร์เรเนียสก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีจากวาทนิพนธ์เรื่องเดียวกันนี้เอง |