วอลโพลใช้คำนี้เป็นครั้งแรกในจดหมายลงวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1754 ที่เขียนถึง ฮอเรซ มันน์ เล่าเรื่องว่าเขาได้ค้นพบความจริงบางอย่างในแบบที่เขาเรียกของเขาเองว่า เซเรนดิพิตี จากนั้นก็อธิบายที่มาของคำนี้ว่า ครั้งหนึ่งเขาได้อ่านเทพนิยายปรัมปราโง่เง่าเรื่องเจ้าชายสามองค์แห่งเซเรนดิป (The Three Princes of Serendip) ซึ่งในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ของเจ้าชายทั้งสามองค์ ก็มักจะค้นพบสิ่งที่ไม่ได้ต้องการค้นหาได้โดยบังเอิญและด้วยไหวพริบอันหลักแหลม กล่าวโดยสรุป เซเรนดิพิตีของวอลโพลหมายถึง การค้นพบสิ่งใดได้ด้วยไหวพริบอันหลักแหลมและโดยบังเอิญในขณะกำลังค้นหาสิ่งอื่นอยู่
วอลโพลเป็นนักเขียนประเภทหนึ่งคือ นักเขียนจดหมาย ตลอดชีวิตเขาเขียนจดหมายถึงบุคคลสำคัญสามสี่คนมากกว่า 3,000 ฉบับ ต่อมาเมื่อมีการตีพิมพ์จดหมายของวอลโพลถึงมันน์รวมทั้งฉบับที่กล่าวถึงนี้เมื่อปี ค.ศ. 1833 คำว่าเซเรนดิพิตีจึงเริ่มเข้าสู่แวดวงวรรณกรรมอย่างเป็นทางการ (ก่อนหน้านี้อาจมีการใช้กันในวงสนทนา)
ในการประดิษฐ์คำว่า เซเรนดิพิตี สิ่งที่วอลโพลทำก็เพียงหยิบเอาคำว่า Serendip มาเติมปัจจัย -ity เข้าไป ก็ได้คำศัพท์ใหม่ขึ้นมา ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ คำว่า Serendip นี้แท้จริงแล้วเป็นชื่อโบราณของประเทศศรีลังกานี่เอง ซึ่งมีผู้สืบค้นเอาไว้ว่าชื่อประเทศศรีลังกาเริ่มมาจากคำบาลีคือ Sihalam อันหมายถึงรัตนสถาน (Place of Jewels) จากนั้นก็กลายเป็น Senendiva (diva แปลว่า เกาะ) และ Silandiva จากนั้นชาวอาหรับก็เพี้ยนไปเป็น Serendib แล้วกร่อนลงเป็น Cilao โดยชาวโปรตุเกส จากนั้นชาวดัตช์ก็แผลงเป็น Zeilan หรือ Ceilan ซึ่งชาวอังกฤษรับต่อมาแล้วแปลงเป็น Ceylon อย่างที่ทราบกันในปัจจุบัน และความอัศจรรย์ประการต่อมาก็คือ เมื่อวอลโพลประดิษฐ์คำจากคำแขกแท้ ๆ ให้เป็นคำฝรั่ง ก็ได้คำฝรั่งที่แทบไม่เหลือกลิ่นอายความเป็นแขกเลย
เรื่องเจ้าชายสามองค์แห่งเซเรนดิปนี้เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่มานานหลายร้อยปีของอินเดีย แล้วถ่ายทอดต่อไปเป็นภาษาอาหรับและเปอร์เซีย จากนิทานเปอร์เซียนี้เองที่เริ่มเข้าไปยังยุโรป โดยถูกแปลเป็นภาษาอิตาลีเผยแพร่ที่เมืองเวนิซเมื่อปี ค.ศ. 1557 (ผ่านมานาน 450 ปีพอดี) แล้วแปลต่อเป็นภาษาเยอรมันเมื่อปี ค.ศ. 1583 และเป็นภาษาฝรั่งเศสครั้งแรกในปี ค.ศ. 1610 และมีอีกสำนวนหนึ่งในปี ค.ศ. 1719 ซึ่งจากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสนี้เองที่ถูกนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1722 อันเป็นปีที่วอลโพลมีอายุได้ 5 ขวบ น่าสังเกตว่านิทานเรื่องนี้ใช้เวลาเดินทางจากประเทศอิตาลีไปถึงประเทศอังกฤษนานถึง 165 ปี หรือคิดเฉพาะเวลาเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสกว่าจะข้ามช่องแคบอังกฤษไปถึงประเทศอังกฤษได้ก็นานถึง 112 ปี
เพื่อความเข้าใจถึงนิยาม การค้นพบสิ่งใดได้ด้วยไหวพริบอันหลักแหลมและโดยบังเอิญในขณะกำลังค้นหาสิ่งอื่นอยู่ ของวอลโพล ขอนำเรื่องย่อของนิทานเปอร์เซียเรื่อง เจ้าชายสามองค์แห่งเซเรนดิปมาเล่าไว้ ณ ที่นี้
ในโบราณกาลมีนครไกลโพ้นไปทางทิศตะวันออกชื่อว่าเซเรนดิป มีพระราชาพระนามว่า Jaffa (หรือ Giaffer) มีโอรสที่ฉลาดปราดเปรื่องด้วยศิลปวิทยานานาสามองค์ แต่ยังทรงต้องการให้โอรสทั้งสามได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงจึงแกล้งหาเรื่องเนรเทศไปจากเมือง
เจ้าชายทั้งสามองค์ออกเดินทางไปจนถึงอีกอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งมีพระจักรพรรดิทรงพระนามว่า Behram (หรือ Vahram ในภาษาเปอร์เซียหมายถึง ชัยชนะ) ในระหว่างทางเจ้าชายสามองค์ก็พบคนต้อนอูฐคนหนึ่งเข้ามาถามว่า เห็นอูฐของเขาตัวหนึ่งที่หายไปจากฝูงผ่านมาตามทางนี้หรือไม่ อันที่จริงเจ้าชายทั้งสามองค์ไม่ได้พบเห็นอูฐจึงตอบไปว่าไม่เห็น แต่ ด้วยไหวพริบอันหลักแหลม กลับสังเกตออกโดยบังเอิญว่าก่อนหน้านี้มีอูฐเดินผ่านทางไป และได้ถามคนเลี้ยงอูฐว่า อูฐตัวนั้นตาบอดข้างหนึ่ง มีฟันหลอหนึ่งซี่ และขาเป๋ข้างหนึ่งด้วยใช่หรือไม่ คนต้อนอูฐประหลาดใจมากว่าไม่ได้พบเห็นแต่สามารถบอกรายละเอียดได้ถูกต้องทั้งหมด แล้วก็รีบผละไปตามหาอูฐต่อไปแต่ก็หาไม่พบจึงย้อนกลับมาหาเจ้าชายทั้งสามองค์ ซึ่งก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอูฐตัวนั้นข้างหนึ่งบรรทุกเนยและอีกข้างหนึ่งบรรทุกน้ำผึ้งโดยมีหญิงตั้งครรภ์เป็นผู้ขี่ไป คนต้อนอูฐพอได้ฟังกลับเชื่อว่าพวกเจ้าชายขโมยอูฐของตนจึงแจ้งให้ทหารมาจับเจ้าชายทั้งสามองค์ไปขังคุก แต่ต่อมาไม่นานเพื่อนบ้านของคนต้อนอูฐก็ไปพบอูฐตัวนั้นเข้า เจ้าชายทั้งสามองค์จึงได้รับการปล่อยตัว
ความทราบถึงพระกรรณของจักรพรรดิ จึงให้เจ้าชายทั้งสามองค์ไปเฝ้า แล้วทรงถามว่าสามารถจาระไนรายละเอียดของอูฐได้ถูกต้อง โดยไม่เห็นอูฐได้อย่างไร เจ้าชายทั้งสามองค์ได้ถวายวิสัชนา ดังนี้
ที่ว่าอูฐตาบอดข้างหนึ่งนั้น ก็เพราะหญ้าที่เขียวชอุ่มตามรายทางถูกกัดกินอยู่เพียงข้างเดียว จึงคาดคะเนว่าอูฐตาบอดข้างหนึ่งและกินแต่หญ้าอีกด้านหนึ่งที่มันมองเห็นชัด
ที่ว่าอูฐฟันหลอซี่หนึ่งนั้น ก็เพราะว่ามีเศษหญ้าที่อูฐเคี้ยวหล่นอยู่ตามทางโตขนาดรอยฟันของอูฐ จึงคาดคะเนว่าหล่นออกมาจากช่องว่างของฟันอูฐที่หลอไปซี่หนึ่ง
ส่วนที่ว่าอูฐขาเป๋หนึ่งข้างนั้น ก็เพราะว่าตามทางมีรอยเท้าอูฐสามรอยกับรอยลากเท้าอีกรอยหนึ่งจึงคาดคะเนว่าอูฐตัวนั้นขาเป๋หนึ่งข้าง
และที่ว่าอูฐตัวนั้นบรรทุกเนยข้างหนึ่งและบรรทุกน้ำผึ้งอีกข้างหนึ่งนั้น เห็นได้ชัดจากตามรายทางข้างที่บรรทุกเนยหกหล่นไว้มีมดมาไต่ และข้างที่บรรทุกน้ำผึ้งหกหล่นไว้นั้นมีแมลงวันมาตอม
สำหรับที่ว่ามีหญิงตั้งครรภ์เป็นผู้ขี่อูฐไปนั้น เพราะพบรอยอูฐนั่งลงที่ข้างทาง และใกล้ ๆ ก็มีรอยเท้าคนชัดเจนรอยหนึ่งเพราะเปียกแฉะด้วยน้ำ เมื่อเจ้าชายองค์รองได้แตะมาดมก็รู้ว่าเป็นกลิ่นปัสสาวะของสตรี ส่วนที่คาดคะเนว่าสตรีนั้นกำลังตั้งครรภ์เพราะที่ตรงรอยแฉะนั้นเจ้าชายองค์สุดท้องยังสังเกตพบรอยฝ่ามือสองข้างด้วย แสดงว่ากำลังมีครรภ์ขณะปัสสาวะจึงต้องใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างยันกายไว้
จักรพรรดิได้สดับจนสิ้นกระแสความด้วยความชื่นชมและอัศจรรย์ในพระทัย จึงรับเจ้าชายทั้งสามไว้เป็นแขกเมือง ระว่างนั้นเจ้าชายทั้งสามองค์ก็ได้ช่วยจักรพรรดิไว้โดยจับได้ว่ามีอำมาตย์คนหนึ่งวางยาพิษพระองค์ ต่อมากระจกวิเศษแห่งความเป็นธรรม ที่ทำให้บ้านเมืองนี้สงบสุข ถูกขโมยไปยังอีกอาณาจักรหนึ่งที่ปกครองโดยราชินีที่เป็นสาวโสด จักรพรรดิจึงขอให้เจ้าชายทั้งสามองค์ไปตามเอากระจกวิเศษกลับมา
เมื่อเจ้าชายทั้งสามองค์ไปถึงอาณาจักรดังกล่าวก็ทราบเรื่องทั้งปวงว่า กระจกวิเศษถูกขโมยไปตั้งหันหน้าออกไปที่ชายหาดใกล้ตัวนครนั้น เนื่องจากว่ามีมือยักษ์โผล่ขึ้นมาจากทะเลคอยรังควานทำร้ายชาวเมือง การตั้งกระจกวิเศษไว้ช่วยทำให้มือยักษ์นั้นทำร้ายแต่สัตว์ไม่ทำร้ายคน ครั้นเจ้าชายทั้งสามองค์ไปถึงที่ชายหาดเผชิญหน้ากับมือยักษ์ เจ้าชายองค์ใหญ่ก็รู้ว่ามือยักษ์เป็นสัญลักษณ์ว่าคนห้าคนรวมกันก็จะทำทุกอย่างสำเร็จจนครองโลกได้ พระองค์เห็นว่า เป็นความเชื่อที่ผิด จึงชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางไปที่มือยักษ์ เป็นสัญลักษณ์ว่าคนเพียงสองคนก็พอสำเร็จงานได้ทุกประการ พลันมือยักษ์ก็ปลาสนาการไปตลอดกาล พระราชินีสาวสวยก็ยอมคืนกระจกวิเศษให้
ครั้นเจ้าชายทั้งสามองค์นำกระจกวิเศษกลับไปถึงนครเดิมก็พบว่าเกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา คือระหว่างนั้นจักรพรรดิทรงกริ้วนางทาสีอันเป็นที่รักยิ่งจึงให้มัดไว้แล้วเอาไปทิ้งในป่าให้สัตว์ป่ากัดกิน วันต่อมาพอหายโกรธก็ให้ทหารกลับไปรับตัวนางกลับมา แต่นางก็หายไปแล้วหาอย่างไรก็ไม่พบ ทำให้จักรพรรดิตรอมพระทัยจนถึงประชวรโรคนอนไม่หลับ
เพื่อรักษาอาการป่วย เจ้าชายสามองค์แนะให้จักรพรรดิสร้างพระราชวัง มีสาวสรรกำนัลนางคอยปรนนิบัติขึ้นเจ็ดแห่งเจ็ดสี สำหรับประทับแห่งละหนึ่งสัปดาห์ และในแต่ละสัปดาห์นั้น ก็ให้นักเล่านิทานที่เก่งที่สุดในเมืองที่สำคัญที่สุดเจ็ดเมือง ที่อยู่ในจักรวรรดิของพระองค์มาเล่านิทานให้ฟัง (ตรงนี้จะเห็นกลิ่นอายนิทานเปอร์เซียทำนองเรื่อง พันหนึ่งราตรี คือ มีนิทานอีก 6 เรื่องเล่าแทรกอยู่ในนิทานเรื่องแรก) ผลปรากฏว่าการฟังนิทานตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงเรื่องที่หกทำให้พระอาการประชวรทุเลาขึ้นโดยลำดับ พอถึงนิทานเรื่องที่เจ็ดก็ทรงพบว่าเป็นเรื่องของพระองค์กับนางทาสีนั้นเอง พระองค์จึงได้เบาะแสของนางจากนักเล่านิทานและส่งทหารไปรับตัวนางกลับมา
จักรพรรดิทรงถามเจ้าชายสามองค์ว่าสามารถหาวิธีรักษาอาการประชวรที่ชาญฉลาดเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าชายสามองค์ทูลตอบว่า เนื่องจากไม่พบซากศพนางทาสีในป่าแสดงว่านางไม่ได้ถูกสัตว์ร้ายจับกินและคงจะมีชีวิตอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ดังนั้นการหานักเล่านิทานมาจากทั่วจักรวรรดิจึงเป็นกุศโลบายในการหาข่าว เพราะอย่างไรเสียก็ต้องมีผู้พบและช่วยเหลือพระสนมไว้และต้องมีการเล่าลือถึงเรื่องนี้กันบ้าง
จากนั้นเจ้าชายสามองค์ก็พากันเดินทางกลับคืนสู่เซเรนดิป และเรื่องก็จบลงตรงที่เจ้าชายทั้งสามองค์กลายเป็นนักปกครองที่ชาญฉลาด ครั้นต่อมาไม่นานพระราชา Jaffa ก็สิ้นพระชนม์และเจ้าชายองค์โตก็ขึ้นเป็นพระราชาแทน เจ้าชายองค์รองได้กลับไปอภิเษกสมรสกับพระราชินีสาวแสนสวยและเป็นพระราชาที่นครแห่งนั้น สำหรับเจ้าชายองค์สุดท้องนั้น จักรพรรดิ Behram ได้ให้รับกลับไปอภิเษกกับพระราชธิดาองค์เดียวของพระองค์ และต่อจากนั้นไม่นานก็ได้ครองอาณาจักรนั้นสืบต่อเมื่อจักรพรรดิสวรรคต
จากนิทานเรื่องนี้เห็นได้ว่าเจ้าชายทั้งสามองค์มีไหวพริบอันหลักแหลมทำให้รู้ในสิ่งที่ไม่ได้ค้นหาได้โดยบังเอิญ และส่งผลดีในบั้นปลายให้เจ้าชายทั้งสามองค์ได้เป็นพระราชาในแต่ละอาณาจักรทั้งสามแห่งนั้น ดังนั้น การอธิบายความหมายของคำว่าเซเรนดิพิตีให้สั้นและเข้าใจง่ายจึงเป็นเรื่องยาก เมื่อกาลเวลาผ่านไปความหมายของคำก็เพี้ยนไป ในปัจจุบันพจนานุกรมภาษาอังกฤษได้ให้นิยามคำนี้ไว้ในทำนองว่า ความสามารถหรือพรสวรรค์ (faculty) ในการได้มาซึ่ง ความสุข และ การค้นพบที่ไม่ได้คาดหมายไว้ ได้โดยบังเอิญ หรือ ความมีโชคจากการค้นหาพบสิ่งดี ๆ ได้โดยบังเอิญ หรือแม้แต่เพียงสั้น ๆ ว่า การค้นพบโดยบังเอิญ โดยมองข้ามลักษณะสำคัญด้วยไหวพริบอันหลักแหลม และขณะกำลังค้นหาสิ่งอื่นของวอลโพลไป และนอกจากนี้ที่ใช้ว่า ความสามารถหรือพรสวรรค์และความมีโชค ก็ไม่ค่อยจะสื่อถึงความฉลาดและความเหนื่อยยากของเจ้าชายทั้งสามองค์ที่ส่งผลดีในบั้นปลายเอาเสียเลย
เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการนำคำนี้ไปใช้ในความหมายที่แปลกประหลาดไปมากกว่านี้อีก คือเมื่อตอนต้นสหัสวรรษ (ค.ศ. 2001) นี้เองมีภาพยนตร์ฝรั่งเรื่องหนึ่ง (เคยฉายในเมืองไทยด้วย) ใช้ชื่อเรื่องว่า เซเรนดิพิตี เป็นเรื่องรักแรกพบของนักศึกษาหนุ่มสาววัยยี่สิบ เรื่องมีว่า ใกล้วันคริสต์มาสที่เมืองนิวยอร์กทั้งคู่พบกันโดยบังเอิญในห้างบลูมิงเดลแย่งกันซื้อถุงมือซึ่งเหลืออยู่เพียงคู่เดียว จึงมานั่งตกลงกันที่ร้านกาแฟชื่อ เซเรนดิพิตี ว่าใครควรได้ถุงมือไป จากนั้นก็ออกไปเล่นสเก็ตชมดาวกันในสวนสาธารณะเซนทรัลพาร์ก ตอนที่จะแยกจากกันฝ่ายชายเสนอให้คบหากัน แต่ฝ่ายหญิงศรัทธาในโชคชะตาว่าถ้าคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน เธอจึงเขียนหมายเลขโทรศัพท์ของเธอไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งแล้วจะนำไปขายในร้านหนังสือ (มือสอง) สักแห่ง ฝ่ายชายก็เขียนหมายเลขโทรศัพท์ของตนไว้บนธนบัตร 5 ดอลลาร์ให้ฝ่ายหญิงไว้ ซึ่งเธอให้ต่อไปกับคนขายของริมถนนและว่าหนังสือเล่มนั้นจะตามหาเขา ส่วนธนบัตรใบนั้นก็จะตามหาเธอเอง แล้วทั้งสองก็จากกันไป ฝ่ายหญิงจากไปอยู่ที่แซนแฟรนซิสโกที่ห่างไปไกลถึงสามพันไมล์ |