วียาร์เริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นครูในโรงเรียนหลายแห่ง จากนั้นจึงตัดสินใจอุทิศชีวิตให้กับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จึงได้เดินทางเข้ามายังกรุงปารีส โดยครั้งแรกได้รับงานวิจัยด้านเคมี ก่อนที่จะหันเหไปจับงานด้านฟิสิกส์ วียาร์ชอบทำงานวิจัยแบบศิลปินเดี่ยว แม้ไม่ใส่ใจกับชื่อเสียง แต่ก็ได้รับรางวัลจากบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสถึงสองครั้ง และได้รับเกียรติเข้าเป็นสมาชิกของบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์ เมื่อปี ค.ศ. 1908
เมื่อปี ค.ศ. 1897 วียาร์ได้รับโอกาสให้ทำงานวิจัยด้วยหลอดรังสีแคโทด ในช่วงปี ค.ศ. 1898-99 เขาจึงได้มีผลงานวิจัยตีพิมพ์เกี่ยวกับรังสีแคโทดและรังสีเอกซ์อย่างมากมายออกมาเป็นตอน ๆ ปีละไม่ต่ำกว่า 10 เรื่อง ซึ่งรวมเรื่องการแผ่รังสีของธาตุเรเดียมด้วยจำนวน 2 ตอน นับได้ว่าวียาร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีเอกซ์อย่างแท้จริง
ปรากฏการณ์กัมมันตภาพรังสี เป็นกระแสใหญ่ในยุคของวียาร์ ซึ่งนอกจากแบ็กเกอแรลและสามีภรรยากูรีแล้ว ก็ยังมีเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Ernest Rutherford) ด้วยอีกคนหนึ่ง ที่แข่งกันศึกษาและพบว่า รังสีที่ปล่อยออกมาจากสารกัมมันตรังสี ไม่ใช่รังสีชนิดเดียว โดยรัทเทอร์ฟอร์ดตั้งชื่อให้ว่า รังสีแอลฟา และรังสีบีตา ส่วนแบ็กเกอแรลเองก็ยังศึกษาพบอีกว่า รังสีบีตาตอบสนองต่อสนามแม่เหล็ก และในที่สุดก็สรุปได้ว่า รังสีบีตาก็คือรังสีชนิดเดียวกับรังสีแคโทด ซึ่งก็คืออนุภาคอิเล็กตรอน ส่วนพวกกูรีก็พบว่ารังสีแอลฟามีพลังงานทะลุทะลวงต่ำกว่ารังสีบีตา นอกจากนี้ก็ยังพบว่า รังสีจากเกลือแบเรียมที่มีกัมมันตภาพรังสีสูง สามารถเปลี่ยนออกซิเจนให้เป็นโอโซน และยังพบผลของรังสีต่อของสีของแบเรียมแพลทิโนไซยาไนด์ซึ่งเป็นสารเรืองแสง โดยสองประการหลังนี้สร้างความสนใจแก่วียาร์ เพราะผลทำนองนี้เกิดได้เช่นกัน จากรังสีเอกซ์ที่เขาเคยศึกษามาก่อนจากหลอดรังสีแคโทด
วียาร์ตั้งใจว่าจะศึกษาสมบัติการสะท้อน (reflection) และการหักเห (refraction) ของรังสีบีตาที่ปล่อยออกมาจากสารกัมมันตรังสีเรเดียม แต่เขากลับค้นพบรังสีชนิดใหม่อย่างคาดไม่ถึง
ในที่ประชุมวันจันทร์ของบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1900 วียาร์ได้รายงานการค้นพบของเขาทำนองว่า ในขณะศึกษาการหักเหของรังสีบีตา ก็ได้ค้นพบรังสีอีกชนิดหนึ่งที่แผ่ไปเป็นเส้นตรงซ้อนไปกับรังสีบีตา และรังสีนี้ไม่เบนในสนามแม่เหล็กต่างกับรังสีบีตาที่ทราบกันดีว่าเบนได้ในสนามแม่เหล็ก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ห่อแผ่นฟิล์มด้วยกระดาษดำหลายชั้นหรือด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบางและแม้แต่หุ้มด้วยแผ่นตะกั่วหนา 0.2 มิลลิเมตร รังสีชนิดนี้ก็ยังทะลุผ่านและทำให้แผ่นฟิล์มเกิดรอยฝ้าดำได้ แต่เนื่องจากวียาร์อธิบายด้วยปากเปล่าต่อที่ประชุม ซึ่งนอกจากผู้ที่คุ้นเคยกับการวิจัยด้านนี้แล้ว ผู้ฟังส่วนมากจึงไม่ค่อยเข้าใจและไม่ให้ความสนใจ
ด้วยความใจกว้างของสามีภรรยากูรี จึงได้มอบแร่เรเดียมที่มีรังสีแรงขึ้นมากให้กับวียาร์ สามสัปดาห์ต่อมาในที่ประชุมบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์วันจันทร์ที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1900 วียาร์ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า เขาใช้แท่งตะกั่วเจาะเป็นท่อยาว สำหรับบังคับทิศทางของรังสีจากแร่เรเดียม ให้พุ่งผ่านสนามแม่เหล็กตรงไปยังแผ่นฟิล์ม 2 ชุดที่วางซ้อนกัน ผลคือ บนแผ่นฟิล์มแผ่นแรกพบร่องรอยของรังสี 2 ชนิด ชนิดแรกมีรอยที่ขยายกว้างขึ้นและการเบนออกจากแนวตรงซึ่งก็คือรังสีบีตา นอกจากนี้ก็ยังเห็นร่องรอยของของรังสีชนิดที่ 2 ที่ทั้งคมชัดและพุ่งไปเป็นเส้นตรง
สำหรับบนแผ่นฟิล์มแผ่นที่ 2 วียาร์พบเพียงรอยที่คมชัดเพียงรอยเดียวในตำแหน่งตรงกับรังสีชนิดที่ 2 ทั้งที่ฟิล์มนี้ทำด้วยกระจกหนาถึง 1 เซนติเมตร และเมื่อทดลองบังด้วยแผ่นตะกั่วหนาหนา 0.3 มิลลิเมตร ความคมชัดก็ลดลงเพียงเล็กน้อย เขาสรุปว่ามี รังสีเอกซ์ ปล่อยออกมาจากแร่เรเดียมด้วย |