เนื้อสีเหลือง รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี-หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิ
เปลือกหนาม รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสีย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลง
ใบทุเรียน รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิ
รากจากต้น ตัดเป็นข้อ ๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วง
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ก็ต้องระมัดระวังเรื่องการรับประทานทุเรียน เพราะการรับประทานมากเกินไปก็จะเป็นผลเสียและเป็นโทษแก่ร่างกาย ขอย้ำว่า ถ้ารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะจะเพิ่มรสชาติและความสุขให้กับชีวิต
การเลือกซื้อทุเรียน ควรดูว่าทุเรียนผลใดแก่จัด โดยดูได้จากก้านผลแข็งสีเข้ม ปลายหนามแห้ง เปราะ สีน้ำตาลเข้ม และมีร่องหนามห่าง รอยแยกระหว่างพูเห็นชัด หากลองเคาะดู เสียงจะดังหลวม ๆ โปร่ง ๆ หากตัดขั้วผลออกจะมีน้ำใส ๆ ซึ่งมีรสหวาน ที่สังเกตง่ายมากคือ ทุเรียนที่ผลสุกรับประทานได้จะมีกลิ่นหอมแรงขึ้นตามลำดับ โดยทั่วไป ทุเรียนดีจะมีลักษณะเนื้อมาก เนื้อละเอียดสีเหลืองเข้ม เกาะกันเป็นพู คงรูป ไม่เละ ถึงสุกงอมก็ไม่แฉะ กลิ่นน้อย เมล็ดลีบ รสหวานอร่อย
??++**ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน** ++??
คงสงสัยกันสิคะว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน
ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลยค่ะ ง่าย ๆ เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้า ๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราว ๆ ประมาณ 5.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อม ๆ หรืออาจมาก-น้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก ไม่ใช่กินเพื่ออิ่ม แต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำ ควรกินสองวันติดต่อกัน และงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใยจากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอ |