ไข่มุก(pearl)

ทัศนีย์ เจริญนาม
ศูนย์ฉายรังสีอัญมณี
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มุกเป็นอัญมณีที่เกิดจากสารอินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิต เป็นอัญมณีอินทรีย์ (organic gems) ชนิดหนึ่งที่มีราคามากที่สุดเป็นที่นิยม และเป็นอัญมณีที่มีความสวยงามในตัวเอง มีความวาวแบบมุก (pearly) และการเกิดสีเหลือบ (iridescence) โดยไม่ต้องตกแต่งเจียระไน ไข่มุกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ มุกธรรมชาติ (natural pearls) และไข่มุกเลี้ยง (cultured pearls)

1. ประเภทของไข่มุกแท้แบ่งเป็น 2 ประเภท

1.1
ไข่มุกธรรมชาติ (natural pearl) คือไข่มุกเกิดขึ้นเองในหอยมุกซึ่งเป็นหอยสองฝามีทั้งชนิดน้ำจืดและน้ำเค็ม อาจเกิดเนื่องมาจากเซลล์เนื้อเยื่อเจริญปลายยอดชั้นนอก(mantle) บางส่วนหลุดเข้าไปในตัวของหอยมุกโดยบังเอิญหรืออาจเป็นสิ่งแปลกปลอม เช่น เม็ดทรายขนาดเล็ก กรวด หนอนทะเล หรือตัวเบียน (parasite) ถูกพัดพาเข้าไปภายในตัวหอยมุก แล้วทำให้ตัวหอยมุกเกิดความระคายเคืองจนหลั่งสารที่เป็นชั้นมุกที่เรียกว่า nacre ออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นจนเป็นไข่มุก ในที่สุดจากโครงสร้างที่เป็นชั้น ๆ ของชั้นไข่มุกนี้เองที่ทำให้เกิดการหักเหและการสะท้อนกลับ เกิดการแทรกสอดของแสง (interference of light) ภายในชั้นต่าง ๆ จึงทำให้มองเห็นเป็นเหลือบมุก (orient) บนผิวมุก ดังนั้นโครงสร้างของชั้นมุกจึงมีความสำคัญมากต่อคุณภาพของไข่มุก ถ้าแผ่นแคลเซียมคาร์บอเนตชนิดอะราโกไนต์ (aragonite) ยิ่งบาง และเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ จะทำให้สมบัติการเหลือบมุกและความวาวสูง แต่ถ้าแผ่นอะราโกไนต์หนาเกินไปและเรียงตัวกันอย่างไม่เป็นระเบียบ จะทำให้ไข่มุกมีคุณภาพเหลือบมุก และความวาวต่ำเนื่องจากเกิดการแทรกสอดแบบหักล้างกันในคลื่นแสง ดังนั้นความสวยงามของผิวมุกอยู่ที่ความละเอียด และความหนาชั้น nacre ของไข่มุก ยิ่งชั้นมุกมีความหนามากไข่มุกก็จะมีความวาวมาก
 
1.2

ไข่มุกเลี้ยง (cultured pearl) มุกแบบไม่มีนิวเคลียส นิยมผลิตมุกน้ำจืด มีวิธีการผลิตมุกโดยการผ่าเอาเนื้อเยื่อ mantle ชิ้นเล็ก ๆ จากหอยตัวหนึ่งมาฝังลงใน mantle ของหอยอีกตัวหนึ่ง ชิ้นเนื้อเยื่อจะแบ่งเซลล์ขยายตัวกลายเป็นถุงมุก (pearl sac) จะขับสารประกอบที่เป็นชั้นของเปลือกหอย โดยมีชั้น nacre อยู่นอกสุดเกิดเป็นมุกขึ้นภายในถุงมุก มุกที่ได้อาจมีรูปร่างได้หลายแบบ เนื่องจากไม่มีแกนกลางบังคับรูปร่างของมุกนั่นเอง

 
 
มุกแบบมีนิวเคลียส นิยมใช้ผลิตมุกน้ำเค็ม วิธีการผลิตมุกแบบนี้คล้ายกับการผลิตมุกแบบไม่มีนิวเคลียส เพียงแต่ใส่นิวเคลียสแกนกลางที่มีขนาดต่าง ๆ เข้าไปพร้อมกับชิ้น mantle จากนั้น nacre จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเคลือบนิวเคลียสที่เป็นแกนกลางภายในถุงมุก (pearl sac) เมื่อเวลาผ่านไปจะได้มุกกลมสวยงาม การผลิตมุกแบบนี้ต้องอาศัยความชำนาญและฝีมือในการผ่าตัดฝังนิวเคลียส โดยอาศัยเครื่องมือพิเศษ ตำแหน่งที่ฝังแกนกลางและเนื้อเยื่อในหอยมุกทะเลคือบริเวณที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ (gonad)
2. สมบัติของไข่มุก
2.1
สมบัติทางกายภาพ
  ดรรชนีหักเห (RI) 1.53-1.68
  ความถ่วงจำเพาะ (SG) 2.67-2.71 (มุกเลี้ยง 2.75)
  ความแข็ง 3.5-4.0
  ความวาว ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของชั้นมุก (nacreous layer) และการผ่านแสง การเหลือบมุก
2.2

องค์ประกอบทางเคมี

  แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ซึ่งปกติจะเป็นแร่ aragonite 80 %
  โปรตีนคอนไคโอลิน (conchiolin) 10 - 14 %
  น้ำและอื่น ๆ 2 - 4 %
  โปรตีนคอนไคโอลินทำหน้าที่เชื่อมประสานรอยต่อระหว่างแผ่นอะราโกไนต์เล็ก ๆ ให้ติดกันเป็นชั้นของมุก และทำให้มุกมีสีที่แตกต่างกันไปตามชนิดของโปรตีน
3. สาเหตุการเกิดสีของไข่มุก มีหลายสาเหตุด้วยกัน ได้แก่
3.1
การเลี้ยวเบนและแทรกสอดของแสงในชั้น necre เช่น มุกสีชมพู สีครีม
3.2

รงควัตถุของสารที่เป็นโปรตีนในชั้นมุก เช่น มุกสีทอง สีดำ

3.3
สารอินทรีย์ที่แทรกอยู่ระหว่างชั้นของนิวเคลียสและชั้น necre เช่น มุกสีฟ้า สีเทา
4. สีของไข่มุก ประกอบด้วย 2 ส่วน
4.1

body color ซึ่งเป็นสีพื้นของไข่มุกเม็ดนั้น

4.2
overtone color หมายถึง สีอื่น ๆ ที่เห็นเกิดจากการเลี้ยวเบนและการแทรกสอดของแสงผ่านชั้นต่าง ๆ ที่ผิวของไข่มุก เช่น สีขาวอมชมพู body color คือ ขาว overtone คือ ชมพู
5. การปรับปรุงคุณภาพไข่มุก
ไข่มุกน้ำจืดที่คัดคุณภาพเพื่อเป็นอัญมณีต้องมีสีสันสวยงามแวววาว บางครั้งจึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพ (enhancement) เพื่อให้มุกมีสีสันหลากหลายขึ้น โดยวิธีการที่ใช้ได้แก่ การย้อมสี (dyeing) การฟอกสี (bleaching) และการฉายรังสี (irradiation)
ไข่มุกก่อนและหลังการฉายรังสีแกมมา
ที่มา:
  1. สุรีย์ ลิขิตตชัย. เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรอัญมณีศาสตร์และเครื่องประดับ เล่ม 3. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
  2. Mikimoto-pearl-museum. 2007. How Cultured Pearls are Produced. Available Source. http://www.mikimoto-pearl-museum.co.jp/en/shikumi/top.html