เชื้อเพลิงการหลอมนิวเคลียส (Nuclear Fusion Fuel) |
รพพน พิชา และ วิเชียร รตนธงชัย
ฝ่ายวิทยาการก้าวหน้า กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
|
บทนำ
เมื่อไรก็ตามที่เราเดินออกไปนอกบ้าน แล้วมองเห็นแสงแดด และรู้สึกถึงความร้อน นั่นคือเรากำลังรู้สึกถึงพลังงานการหลอมนิวเคลียสหรือนิวเคลียร์ฟิวชัน (nuclear fusion) แหล่งกำเนิดพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์คือดวงอาทิตย์นี่เอง รังสีความร้อน และแสงสว่าง ซึ่งพลังงานนี้เดินทางราว 150 ล้านกิโลเมตร (astronomical unit, A.U.) มายังโลก โดยบนดวงอาทิตย์นั้น ปฏิกิริยาฟิวชันเกิดขึ้นได้โดยใช้โปรตอน (หรือเรียกได้ว่า H-1) เป็นเชื้อเพลิงหลัก แรงโน้มถ่วงที่มหาศาลบีบอัดโปรตอนเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงนิวเคลียร์
|
|
|
|
รูปที่ 1. ระบบสุริยจักรวาล (illustration: Chandra, NASA) |
|
ถ้าหากเราจะสร้างนิวเคลียร์ฟิวชันบนโลก เพื่อที่จะใช้เป็นแหล่งพลังงานเสริม สำหรับความต้องการของคนหลายพันล้านคนในโลก เราจะใช้เชื้อเพลิงชนิดใด? |
|
|
|
รูปที่ 2. เครื่องโทคาแมก JET ณ. Culham, UK |
|
นิวเคลียร์ฟิวชัน
ในการสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน เราสามารถใช้ไอโซโทปหนัก เช่น ยูเรเนียม (U-235 U-233 U-238) และพลูโทเนียม (Pu-239) ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้เชื้อเพลิงเหล่านี้ผลิตไฟฟ้าในราว 30 ประเทศทั่วโลก ส่วนการสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันบนโลกนั้น เราสามารถใช้นิวเคลียส H-1 H-2 และ H-3 ซึ่งหมายถึงไฮโดรเจนที่มีนิวตรอน 0 1 และ 2 อนุภาค ตามลำดับ ซึ่งนิวเคลียสทั้งสามชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็นไอโซโทป (isotopes) ของกันและกัน
ภาคตัดขวาง (cross section) หรือโอกาส ที่โปรตอนจะมารวมกันเป็นฮีเลียม-2 (He-2) นั้นมีค่าต่ำมาก การทดลองต่าง ๆ ทางด้านฟิวชันบนโลก เราจึงใช้พลาสมาพลังงานสูง เช่นพลาสมาที่จะมีในเครื่อง ITER [1] ของดิวเทอรอน (deuteron, H-2, D) และไทรทอน (triton, H-3, T) ซึ่งโอกาสในการเกิดฟิวชันของ D+D หรือ D+T จะมีค่าสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิของพลาสมา (วัดเป็น eV หรือ K) มีค่าเพิ่มขึ้น
เครื่องโทคาแมกดังเช่น JET (Joint European Torus) ที่สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเครื่องที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ใช้เชื้อเพลิง D กับ T มาสร้างพลังงานจากฟิวชันได้ถึง 16 MW และเครื่อง ITER ที่กำลังสร้างก็จะใช้เชื้อเพลิง D และ T เช่นเดียวกัน เพื่อผลิตพลังงาน 500 MW โดยการที่จะสร้างฟิวชันได้นั้น จะต้องเพิ่มพลังงานให้กับ D และ T ในระดับที่สูงมาก เป็นหลายล้านองศาเคลวิน การที่อนุภาคมีพลังงานสูงเช่นนี้ เราต้องมีวิธีควบคุม ซึ่งหากเป็นโทคาแมก ก็จะใช้สนามแม่เหล็กกำลังสูงในการควบคุมพลาสมาของเชื้อเพลิงเหล่านี้ หรือ หากเป็นวิธี Inertial Confinement Fusion (ICF) ก็จะใช้เลเซอร์ยิงอัดเม็ดเชื้อเพลิง (pellets) เพื่อเอาชนะแรงผลักทางไฟฟ้าของนิวเคลียส D และ T เหตุผลที่เราต้องการใช้เชื้อเพลิงที่มาจากธาตุมวลต่ำ เช่น ไฮโดรเจน ก็เพราะว่าแรงผลักนี้มีค่าสูงขึ้นตามเลขอะตอม (Z) ของธาตุนั่นเอง
แหล่งไอโซโทปไฮโดรเจน
คำถามที่สำคัญต่อมาก็คือ เราจะหาเชื้อเพลิงดิวเทอรอนรอนและไทรทอนมาจากที่ใด เมื่อในธรรมชาติ ไอโซโทปของไฮโดรเจนส่วนใหญ่ (เกิน 99.9%) เป็น H-1 ที่เหลือเป็น H-2 ส่วน H-3 ไม่เสถียร และจะสลายให้รังสีบีตาลบ ด้วยครึ่งชีวิตราว 12.3 ปี |
|
|
|
รูปที่ 3. ไอโซโทปของไฮโดรเจน |
|
ดิวเทอเรียมถูกค้นพบโดยฮาโรลด์ อูเรย์ (Harold Urey) ในปี ค.ศ. 1931 [2] ดิวเทอเรียมเป็นไอโซโทปที่มีอยู่ในปริมาณต่ำในธรรมชาติ โดยประมาณทุก ๆ 6500 อะตอมของไฮโดรเจน จะเป็นดิวเทอเรียมสักหนึ่งอะตอม เราสามารถสกัดเอาดิวเทอเรียมมาจากน้ำทะเล น้ำมวลหนัก (deuterium oxide, D2O) มีการใช้งานในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชันแบบแคนดู (CANDU) ซึ่งผลิตโดย บริษัท AECL ของแคนาดา ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1944 ซึ่งน้ำธรรมดากับน้ำมวลหนักมีสมบัติบางอย่างต่างกัน เช่นความหนาแน่น และจุดเดือด (น้ำมวลหนักมีจุดเดือดราว 101.4 องศาเซลเซียส และจุดเยือกแข็ง 3.8 องศาเซลเซียส) ส่วนใหญ่เราแยกดิวเทอเรียมจากไฮโดรเจนด้วยกระบวนการทางเคมี เพราะเนื่องจากไอโซโทปสองชนิดนี้มีมวลที่ต่างกันในสัดส่วนที่สูง (เนื่องจากมวลน้อย) จึงมีสมบัติในการจับตัวกับสารประกอบอื่น ๆ ที่ต่างกัน [3]
การผลิตดิวเทอเรียม ก็คือการนำดิวเทอเรียมที่มีอยู่ในธรรมชาติ มาสกัดให้มีความเข้มข้นขึ้นนั่นเอง โดยในปัจจุบัน ดิวเทอเรียมสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด ส่วนใหญ่ในรูปของ น้ำมวลหนัก โดยมีประเทศแคนาดาและอินเดียเป็นผู้ผลิตดิวเทอเรียมรายใหญ่ โดยผู้ใช้สามารถที่จะใช้วิธีการแยกสลายด้วยไฟฟ้า (electrolysis: ใช้กระแสไฟฟ้ามาแยกพันธะทางเคมีของสสาร) เพื่อสกัดเอาแก๊ส D2 ออกมา |
|
|
|
รูปที่ 4. น้ำธรรมดา (H2O) เทียบกับน้ำมวลหนัก (D2O)
(figure: Oak Ridge Associated Universities) |
|
สำหรับทริเทียมนั้น แม้จะไม่คงตัว แต่ก็มีครึ่งชีวิตไม่สั้นเกินไป สามารถผลิตได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ระหว่างลิเทียม (Li-6 หรือ Li-7) กับนิวตรอน โดยลิเทียมมีอยู่ในอัตราส่วนราว 50 ส่วนในล้านส่วน (parts per million: ppm) ในเปลือกโลก [4] ซึ่งสูงกว่าธาตุอย่างเช่นตะกั่วหรือยูเรเนียม โดยราว 7% ของ Li บนโลกเป็น Li-6 และ 93% เป็น Li-7 ในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีมีการพัฒนาสูงขึ้น ก็จะสามารถสกัดลิเทียมจากมหาสมุทรได้เช่นกัน เนื่องจากลิเทียม (เลขเชิงอะตอมเท่ากับ 3) เป็นธาตุในกลุ่มที่มีอิเล็กตรอนวงนอกอนุภาคเดียว จึงมีสภาพไวสูงในการทำปฏิกิริยาเคมี ต้องถูกเก็บไว้ให้ห่างจากน้ำและความชื้นในอากาศ ในปัจจุบัน ประเทศชิลีและอาร์เจนตินาเป็นผู้ผลิตลิเทียมรายใหญ่สุดของโลก [5,6] นอกจากนี้ราคาของทั้งเชื้อเพลิงดิวเทอเรียมและลิเทียมนั้นต่ำมากหากเทียบกับราคาการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด และทั้งคู่ก็มีปริมาณที่จะรองรับความต้องการพลังงานของโลกไปได้อีกนาน
นอกจากนี้ ในเครื่องปฏิกรณ์ ITER ก็มีการออกแบบที่จะสร้างผนังเครื่องให้ประกอบไปด้วยไอโซโทปของลิเทียม (Li-6 และ Li-7) เพื่อไว้จับนิวตรอนที่ถูกสร้างขึ้นจากฟิวชัน ซึ่งปฏิกิริยานี้สามารถที่จะผลิต H-3 และอนุภาคแอลฟาขึ้นมาได้ โดย cross section ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจับนิวตรอนของลิเทียมก็มีการศึกษากันมายาวนานเกินกว่า 50 ปี ดังเช่นงานของกลุ่มของดาร์ลิงตันเมื่อ ค.ศ. 1953 [7] ซึ่งทริเทียมที่ถูกผลิตขึ้นนี้ สามารถจะถูกส่งกลับไปในเครื่องเพื่อเป็นเชื้อเพลิงฟิวชัน ในขณะที่แอลฟาก็เป็นตัวสร้างความร้อนเพื่อไปผลิตไฟฟ้าต่อไป
สรุป
เรื่องเชื้อเพลิงไม่ใช่ปัญหาของฟิวชัน ที่เป็นปัญหาคือจะการนำเชื้อเพลิงเหล่านี้มาทำให้เกิดฟิวชันได้อย่างวางใจได้ ปัจจุบันฟิวชันยังคงสร้างพลังงานได้เป็นจังหวะ (pulses) สั้น ๆ ถ้าจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานฟิวชันที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในระดับประเทศจริง เราคงต้องทำให้พลังงานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือความท้าทาย ที่นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรต้องค้นคว้าศึกษากันต่อไป
อ้างอิง (References): |
- ITER www.iter.org
- H. C. Urey, Ferdinand G. Brickwedde, G. M. Murphy (1932). "A Hydrogen Isotope of Mass 2". Physical Review 39: 164165
- Federation of American Scientists, Heavy Water Production
- Fusion Magnetique, CEA, France, Lithium
- US Geological Survey, Lithium
- Mineral Information Institute, Lithium
- Darlington, L. E. et al., The Angular Distribution of Li6(n, alpha)H3 for Neutrons of 200, 270, 400, and 600 kev, Phys. Rev. 90 (1953)
|
|