ข้างในหลอดอิเล็กตรอนที่ว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์จะมีอนุภาคก็แต่เพียงอิเล็กตรอน แต่ถ้าเติมแก๊สไฮโดรเจนไว้ในหลอดสักเล็กน้อย ก็จะสังเกตพบอนุภาคที่มีประจุบวกได้ เนื่องจากพวกมันมีประจุตรงกันข้ามกับอิเล็กตรอน จึงเคลื่อนที่ทิศทางตรงกันข้ามกับอิเล็กตรอน โดยถูกดูดไปที่ขั้วไฟฟ้าลบเพราะพวกมันมีประจุบวก ทำนองเดียวกับอิเล็กตรอนที่ถูกดูดไปที่ขั้วไฟฟ้าบวก การศึกษาว่ามันเป็นประจุบวกทำได้โดยให้พวกมันเคลื่อนที่ผ่านเข้าในในสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า แบบเดียวกันกับที่ใช้ศึกษาอิเล็กตรอนและรังสีเรเดียม ซึ่งก็พบว่าพวกมันแต่ละอนุภาคหนักเท่า ๆ กับแต่ละอะตอมของไฮโดรเจน และมีประจุไฟฟ้าบวกขนาด 1 หน่วย น้ำหนักของพวกมันไม่น่าประหลาดใจเพราะหนักเท่า ๆ กับไฮโดรเจนที่เติมเข้าไปในหลอดตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรก็ดี เพราะว่าพวกมันมีประจุไฟฟ้า จึงถูกแยกไว้ในแฟ้มภายใต้ชื่อนี้
ในระหว่างที่วิทยาศาสตร์กำลังให้ความสนใจกับยูเรเนียมและเรเดียม ระหว่างนั้นอะตอมไฮโดรเจนที่มีประจุบวกจึงถูกวางกองเอาไว้ด้านข้าง ครั้นเมื่อมีการค้นพบนิวเคลียสของอะตอม พวกนักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มหันกลับมามองอะตอมไฮโดรเจนที่มีประจุเป็นครั้งที่สอง พวกเขาคิดหาเหตุผลว่า หากเติมอิเล็กตรอนที่มีประจุลบสักอนุภาคหนึ่งเข้าไปไว้ใน อะตอมไฮโดรเจนที่มีประจุ นี้ ประจุไฟฟ้าก็จะหักล้างกันกลายเป็นอะตอมไฮโดรเจนที่มีประจุเป็นกลางเช่นเดียวกับที่เราพบอยู่ตามธรรมชาติทุกประการ โดยที่การเติมอิเล็กตรอนที่เบาโหวงเข้าไปนี้แทบไม่ได้ทำให้น้ำหนักของอะตอมไฮโดรเจนที่มีประจุ เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า อนุภาคที่เรียกว่า อะตอมไฮโดรเจนที่มีประจุ นี้ คงไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนิวเคลียสของอะตอมไฮโดรเจน?
แล้วก็ใช่จริง ๆ เสียด้วย เพราะอันที่จริงอะตอมไฮโดรเจนที่มีประจุก็คืออนุภาคประจุบวกชนิดพื้นฐานที่สุดที่มีอยู่จริง โดยมีประจุไฟฟ้าขนาด 1 หน่วย และมีนำหนักเชิงอะตอม 1 หน่วย ความรู้ใหม่นี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้สึกกันว่า อะตอมไฮโดรเจนที่มีประจุ น่าจะมีชื่อใหม่และชื่อที่ดีกว่าซึ่งเหมาะสมกับความสำคัญที่ค้นพบใหม่นี้ โดยเรียกว่า โปรตอน ซึ่งหมายถึง อนุภาคปฐมภูมิ หลังจากเวลานานหลายปีที่ละเลย นักวิทยาศาสตร์ชดใช้หนี้ด้วยชื่ออันยกยอปอปั้นนี้
โปรตอนได้รับบทบาทให้เป็นนิวเคลียสของอะตอมไฮโดรเจนอันเป็นอะตอมสามัญที่สุดในธรรมชาติ มันเป็นหนึ่งในหน่วยการสร้างของอะตอมนี้ อิเล็กตรอนคงต้องเป็นอีกหน่วยหนึ่ง เพราะว่าตอนนั้นก็มีแต่อิเล็กตรอนที่สามารถหักล้างประจุของโปรตอนได้โดยไม่ทำให้น้ำหนักของมันเพิ่มขึ้นจนวัดได้ อนุภาคทั้งสองนี้ด้วยกันที่ทำให้เกิดอะตอมไฮโดรเจนที่เป็นกลาง แต่ทว่ามีอิเล็กตรอนจากที่ใดกันที่สัมพันธ์กับโปรตอน? นานทีเดียวที่โปรตอนถูกเข้าแฟ้มไว้ภายใต้ชื่อเดิมของมันที่ทุกคนสมมติไว้ในใจว่ามันเล็กหรือโตเท่า ๆ กับอะตอมไฮโดรเจน มาบัดนี้เมื่อมันได้รับบทบาทให้เป็นนิวเคลียส ก็ทำให้มันต้องมีขนาดเล็กลงหลายพันเท่าตัว ปัญหาในขณะนั้นก็คือ อะตอมไฮโดรเจนสร้างขึ้นมาได้อย่างไรให้ใหญ่โตถึงปานนั้น อย่าลืมนะว่าสร้างขึ้นโดยใช้อนุภาคเล็ก ๆ ทั้งคู่อย่างโปรตอน 1 อนุภาคกับอิเล็กตรอนอีก 1 อนุภาค
เราทราบแล้วว่านิวเคลียสเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับอะตอมทั้งใบ เหมือนกับลูกหินในบอลลูนโตขนาด 300 ฟุต มิติอันใหญ่โตนี้เราต้องรำลึกไว้ในใจเสมอ เพราะต่อไปเรากำลังจะขยับไปที่การสร้างอะตอมไฮโดรเจนด้วยโปรตอนและอิเล็กตรอนอย่างละ 1 อนุภาค มาลองสร้างอะตอมไฮโดรเจนกันด้วยมาตราส่วนอันใหญ่โตนี้ เพื่อว่าพลังจินตนาการอันอ่อนแอของเราจะมีอะไรไว้ให้เกาะบ้าง
ถ้าเราขยายขนาดของโปรตอน 1 อนุภาคกับอิเล็กตรอนอีก 1 อนุภาคให้มีขนาดเท่าลูกหิน เราต้องขยายขนาดของประจุไฟฟ้าของพวกมันด้วยอัตราส่วนเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้เราเจอะเจอเข้ากับความยุ่งยากที่ช่างน่าอัศจรรย์ เพราะว่าโปรตอนมีประจุบวก 1 และอิเล็กตรอนมีประจุลบ 1 เพื่อให้มีอวกาศอันว่างเปล่าภายในอะตอมอันเหมาะสม เราต้องจัดวางลูกแก้วประจุทั้งสองนี้ห่างกันประมาณ 150 ฟุต อย่างไรก็ดี ประจุไฟฟ้าที่แตกต่างกันทั้งสองชนิดดึงดูดกัน ด้วยขนาดประจุที่ขยายขึ้นนี้ แรงดึงดูดระหว่างลูกหินทั้งสองลูกจึงมีขนาดมหาศาล ด้วยระยะทางขนาดช่วงตึกของเมืองเล็ก ๆ นี้ พวกมันดึงดูดกันด้วยแรงถึง 400 ตัน!
เพราะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ลูกหินทั้งสองอยู่แยกจากกัน ต่อให้ก่อกำแพงแข็งแรงทำด้วยเหล็กคุณภาพสูงไว้ระหว่างช่องว่าง 150 ฟุตนี้ก็เถอะ ลูกหินทั้งสองลูกก็จะพุ่งชนทะลุกำแพงนี้อย่างรุนแรงเพื่อมาเกาะอยู่ด้วยกัน ความแข็งแรงของเหล็กมีน้อยเกินกว่าจะทนทานแรงขนาด 400 ตันต่อเนื้อที่ภาคตัดขวางขนาดเท่าลูกหินได้ ต่อให้วัสดุที่แข็งแรงที่สุดเมื่อมาเผชิญเข้ากับแรงขนาดนี้ก็จะเป็นเสมือนแค่ก้อนเนยเท่านั้น
แน่ละว่า ในเมื่อไฮโดรเจนของเราต้องมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้ แล้วโปรตอนอนุภาคหนึ่งกับอิเล็กตรอนอีกอนุภาคหนึ่งจะถูกวางให้ห่างกันได้โดยธรรมชาติอย่างไรกัน? ผู้ให้คำตอบนี้เมื่อปี ค.ศ. 1913 เป็นนักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์กชื่อว่า นีลส์ โบร์ |