สำหรับหลักฐานด้านวิทยาการระบาด มีผลการศึกษาจำนวนมากจากผู้รอดชีวิตจากลูกระเบิดอะตอม ที่เมืองฮิโรชิมาและ นางาซากิ พอสรุปได้ ดังนี้
หลักฐานประการที่หนึ่งเป็นรายงานของ UNSCEAR เมื่อปี 1994 รายงานไว้ว่าในกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ได้รับปริมาณรังสีต่ำกว่า 200 มิลลิซีเวิร์ต ไม่พบจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้เสียชีวิตรวมจากมะเร็ง และในประชากรกลุ่มนี้ ผู้ที่ได้รับ ปริมาณรังสีต่ำกว่า 100 มิลลิซีเวิร์ต มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวยิ่งต่ำกว่ากลุ่มควบคุมที่มีอายุ รุ่นราวคราวเดียวกัน
หลักฐานประการที่สองเป็นของคณะของ Mifune เมื่อปี 1992 พบว่าในบริเวณน้ำพุร้อน ที่มีระดับแก๊สเรดอนเฉลี่ย 35 เบ็กเคอเรลต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งจัดว่าเป็นบริเวณที่มีรังสีพื้นหลัง (background radiation) สูง กลับมีอุบัติการณ์มะเร็งปอดราว 50 เปอร์เซ็นต์ของบริเวณที่มีแก๊สเรดอนในระดับที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าในบริเวณดังกล่าวนั้น มีอัตราการตายจากมะเร็ง ทุกชนิดต่ำลง 37 เปอร์เซ็นต์
ประการที่สามเป็นหลักฐานเมื่อปี 1981 ของ Mine กับผู้ร่วมงานของเขาแสดงให้เห็นว่า ผู้รอดชีวิตจากลูกระเบิดอะตอม ที่นางาซากิ ในบางกลุ่มอายุ สังเกตพบอัตราการตายในแต่ละปีต่ำกว่าที่ค่าทางสถิติคาดไว้
หลักฐานประการที่สี่เป็นของ Kumatori และคณะ รายงานไว้เมื่อปี 1980 ว่า จากการติดตามศึกษาเป็นเวลานานต่อเนื่องถึง 25 ปีในกลุ่มชาวประมงญี่ปุ่น ที่ได้รับผลจากการปนเปื้อนพลูโทเนียมที่มาจากการทดลองลูกระเบิดไฮโดรเจนของ สหรัฐอเมริกา ที่เกาะบิกินีในมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่พบผู้ใดตายด้วยมะเร็งเลย
หลักฐานด้านวิทยาการระบาดต่อมาเกี่ยวกับการศึกษาด้านรังสีพื้นหลังทั้งในสหรัฐอเมริกา ( โดย Frigerio เมื่อปี 1976) ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ พบว่าในรัฐที่มีรังสีพื้นหลังสูง มีอัตราการตายด้วยมะเร็งต่ำกว่าอัตราการตายในพื้นที่ที่มีรังสีพื้นหลังต่ำกว่า อย่างเห็นได้ชัด และ Cohen BL. (รายงานไว้เมื่อปี 1993) ก็รายงานว่าอัตราการตายรวมจากมะเร็ง เป็นสัดส่วนผกผัน กับปริมาณรังสีพื้นหลังที่ได้รับ หรือในจีน ( โดย Wei L เมื่อปี 1990) ก็ได้ผลตรงกัน โดยศึกษากับประชากรราว 74,000 คนในพื้นที่ที่มีรังสีพื้นหลังค่อนข้างสูง พบว่ามีอัตราการตายด้วยมะเร็งต่ำกว่าในกลุ่มประชากร 78,000 คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่รังสีพื้นหลังค่อนข้างต่ำ
การศึกษาต่อมาคือในบริเวณโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เช่น การศึกษาในประเทศแคนาดาโดยคณะของ Abbat เมื่อปี 1983 ได้สำรวจการตายด้วยมะเร็งในพื้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ พบว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศถึง 58 เปอร์เซ็นต์ และในทำนอง เดียวกัน คนงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศอังกฤษ ก็มีอัตราการตายด้วยมะเร็งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ของประเทศเช่นกัน (การศึกษาโดยคณะของ Kendal เมื่อปี 1992)
กลไกของปรากฏการณ์ฮอร์มีซิสรังสียังไม่แน่ชัดนัก แต่ก็มีการอธิบายไว้อยู่หลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีการซ่อมแซมดีเอ็นเอ เป็นกระบวนการในระดับโมเลกุล อธิบายว่า (โดย Ikushima เมื่อปี 1996) รังสีชนิดก่อไอออนในระดับต่ำ ๆ เหนี่ยวนำให ้ผลิตโปรตีนชนิดพิเศษบางชนิดที่เกี่ยวข้องในกระบวนการซ่อมแซมดีเอ็นเอ อีกทฤษฎีหนึ่งในระดับโมเลกุล เกี่ยวกับเรื่องฮอต คืออนุมูลอิสระหรืออนุมูลเสรี (free radical) คือเมื่อปี 1987 Feinendengen กับผู้ร่วมงานชี้ว่า รังสีชนิดก่อไอออนในระดับต่ำ ๆ มีผลยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอชั่วคราว ทำให้เซลล์ที่โดนรังสีมีเวลานานขึ้นในการฟื้นตัว และการยับยั้งนี้ยังอาจผลิต ตัวเก็บกวาดอนุมูลเสรีอีกด้วย ทำให้เซลล์ที่โดนรังสีมีความต้านทานรังสีได้มากขึ้น
ทฤษฎีต่อมากล่าวในระดับเซลล์คือการกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของปริมาณรังสีต่ำ ๆ (แน่นอนว่าปริมาณรังสีสูงไปกดระบบ ภูมิคุ้มกัน) ซึ่งมีผลการทดลองเช่น ของ Russ VK เมื่อปี 1909 ทดลองให้หนูได้รับปริมาณรังสีต่ำ ๆ แล้วพบว่ามี ความต้านทานการเกิดโรคจากแบคทีเรียสูงขึ้น และผลการทดลองในแนวนี้มีตาม ๆ กันมาอย่างมากมาย
กล่าวโดยสรุป แม้การในควบคุมเกี่ยวกับการป้องกันรังสี ยังใช้หลัก LNT แต่ก็มีข้อเท็จจริงเป็นอันมากที่แสดงถึงข้อดีของ ีปริมาณรังสีระดับต่ำ ๆ ดังกล่าวข้างต้น ที่เรียกว่า ฮอร์มีซิสรังสี นั้น ว่า มีจริง อย่างไม่ต้องสงสัย สมดังวาทะอำมตะของ แพราเซลซัส ที่ว่า
. |