เนื่องจากตัวกำเนิดรังสี Ir-192 มีปริมาณรังสีสูง ระยะเวลาในการรักษาประมาณ หนึ่งนาที ดังนั้นโอกาสที่ตัวกำเนิดรังสี จะเคลื่อนตัว หรือการผิดตำแหน่งรักษา ทำให้บริเวณใกล้เคียงได้รับรังสีโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็น้อยตามไปด้วย อัตราปริมาณรังสี โดย เอชดีอาร์ มีความแม่นยำโดยการวางตำแหน่งตัวกำเนิดรังสี ในแต่ละจุดจะวัดเป็น มิลลิเมตร
เพราะว่า Afterloader มีการควบคุมระบบด้วยคอมพิวเตอร์ ทำให้ตัดปัญหาการได้รับรังสีของแพทย์ บุคลากรโรงพยาบาล และบุคคลในครอบครัวของผู้ป่วย หลังจากการรักษาด้วยเอชดีอาร์ แล้ว ตัวกำเนิดรังสีก็จะถูกดึงกลับเข้าไปเก็บ ในตัวเครื่อง ในตัวคนไข้ก็จะไม่มีรังสีตกค้างอยู่เลย และนี่คือเหตุผลที่เรียกวิธีการนี้ว่า รังสีบำบัดระยะใกล้ด้วยอัตราปริมาณรังสีสูงแบบฝังตัวกำเนิดรังสีชั่วคราว
เวลาการรักษาด้วยเอชดีอาร์ทั้งหมด ต้องมีการรักษาสามถึงสิบครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งที่จะรักษา จะมีองค์ประกอบหลายอย่างที่แพทย์จะต้องพิจารณา ในการหาอัตราปริมาณรังสีที่จะใช้ ในการรักษากี่ครั้งที่จะดำเนินการ
ขั้นตอนดำเนินการเอชดีอาร์ตามปรกติ (Typical HDR Procedures)
1. กำหนดตำแหน่งฝังตัวกำเนิดรังสี (Implant placement)
- การฝังตัวกำเนิดรังสีภายในผ่านช่องโพรงของร่างกาย (Intracavitary implant) โดยตัวอุปกรณ์นำส่ง จะถูกสอดเข้าไปตามช่องของร่างกาย ไปที่ส่วนที่เป็นเนื้องอก อาจต้องมีการให้ยาชาเฉพาะที่ หรือยากล่อมประสาท ถ้าต้องการ
- การฝังตัวกำเนิดรังสีผ่านทางท่อ (Intraluminal implant) โดยท่อสายสวนจะถูกใส่ ผ่านโครงสร้างที่เป็นท่อ ของร่างกาย เช่น หลอดอาหาร ท่อน้ำดี หรือหลอดลม แล้วนำต้นกำเนิดรังสีสอดผ่านท่อสายสวนนี้ ไปตามส่วนที่ต้องการ
- การฝังหรือสอดผ่านตัวกำเนิดรังสีเข้าไปในส่วนที่เป็นมะเร็งโดยตรง (Interstitial implant) วิธีการนี้ มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ต้องดำเนินการในห้องผ่าตัด อาจต้องให้ยาชาเฉพาะที่ หรือต้องบล็อกไขสันหลัง เพื่อดำเนินการผ่าตัดใส่สายสวนแทรกผ่านเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย เข้าไปบริเวณรอบก้อนเนื้องอก ในกรณีของต่อมลูกหมากและระบบนรีเวช จะวางแม่แบบยางไว้ตรงรอยต่อบริเวณผิวที่ผ่าตัด เพื่อช่วยในการพยุง ให้สายสวนคงที่อยู่ในตำแหน่ง ในกรณีของเต้านม และศีรษะและคอ ตัวสายสวนจะมีตัวปุ่มพลาสติก เป็นตัวช่วยให้สายสวนอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ปุ่มนี้จะติดอยู่ที่ตำแหน่งสายสวน มีการเลื่อนเข้าออกจากผิวหนัง
2. การจำลอง (Simulation)
หลังจากการฝังหรือสอดใส่ตัวกำเนิดรังสีแล้ว จะมีการทำ CT หรือเอกซเรย์ โดยนักรังสีรักษา เพื่อดูว่า ตำแหน่งที่ได้ฝัง หรือสอดผ่านตัวกำเนิดรังสีนั้น อยู่ในตำแหน่งที่แน่นอนในร่างกาย และดูความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง กับอวัยวะข้างเคียง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบำบัดจะดูภาพที่ถ่ายนี้ เพื่อความแน่ใจว่าการฝังหรือสอดผ่านนี้ อยู่ใกล้อวัยวะที่ต้องการ และมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในขั้นสุดท้าย แพทย์อาจจะมีการปรับแต่งตำแน่งอีกครั้งถ้าจำเป็น
3. ปริมาณรังสีที่ใช้กับผู้ป่วย (Dosimetry)
ภาพที่ได้จาก CT หรือฟิล์ม นักปริมาณรังสีวิทยาจะนำไปวางแผนการรักษา ผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ โดยมีการคำนวณเบื้องต้น และนักปริมาณรังสีวิทยาจะปรับแต่งในรายละเอียด หรือกำหนดปริมาณรังสีให้สอดคล้อง กับตัวเป้าหมาย ในขณะเดียวกันอวัยวะข้างเคียงต้องได้รับผลกระทบทางรังสีน้อยที่สุด หลังจากแผนการรักษา ได้รับการรับรองจากแพทย์ ระบบคอมพิวเตอร์จะส่งผ่านข้อมูลแผนการรักษาทั้งหมดไปที่เครื่อง HDR remote afterloader
4. การรักษา (Treatment)
ผู้ป่วยจะถูกนำตัวเข้าห้องรังสีรักษาระยะใกล้ ส่วนปลายของอุปกรณ์ช่วยเสริมหรือสายสวน ที่ยื่นออกมาภายนอกร่างกาย จะถูกต่อเข้ากับท่อนำส่งซึ่งต่อเข้ากับเครื่อง afterloader โปรแกรมที่ตั้งไว้จะถูกบอกตัวเครื่อง afterloader เพื่อกำกับ ตัวกำเนิดรังสีไปที่ไหน และจะให้แหล่งกำเนิดรังสีอยู่ที่ตำแหน่งรักษานานเท่าใดในแต่ละจุด ผู้ป่วยต้องต้องนอน เป็นเอกเทศผู้เดียวในห้องขณะดำเนินการรักษา แต่นักบำบัดและพยาบาลจะเฝ้าตวรจสอบผู้ป่วยผ่านทางระบบ ติดต่อภายใน และโทรทัศน์วงจรปิด การรักษาทั้งหมดจะใช้เวลา 90 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้องอก และความซับซ้อน ของการฝังหรือสอดใส่ตัวกำเนิดรังสี และปริมาณความแรงรังสีของตัวกำเนิดรังสีที่มีอยู่ เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น ตัวกำเนิดรังสีจะถูกดึงกลับมาเก็บไว้ที่ตัว HDR afterloader ดังนั้น จึงไม่มีรังสีตกค้าง เหลืออยู่ในตัวผู้ป่วย
5. การถอดเก็บอุปกรณ์ช่วยเสริมในการฝังหรือสอดใส่ตัวกำเนิดรังสี (Implant Remove)
หลังจากกระบวนการรักษาดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่จะถอดเก็บอุปกรณ์ช่วยเสริม ในการฝังหรือสอดใส่ ตัวกำเนิดรังสี กระบวนการฝังตัวกำเนิดรังสี ภายในผ่านช่องโพรงของร่างกาย (Intracavitary implant) และการฝัง ตัวกำเนิดรังสีผ่านทางท่อ (Intraluminal implant) จะง่ายต่อการถอดเก็บ และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เร็ว ภายหลังการถอดเก็บ แต่กรณีการฝัง หรือสอดผ่านตัวกำเนิดรังสี เข้าไปในส่วนที่เป็นมะเร็งโดยตรง (Interstitial implant) การถอดเก็บแม่แบบยาง หรือตัวจับยึดสายสวน ซึ่งบางส่วนมีการเย็บติดกับเนื้อเยื่อของผู้ป่วย จะต้องจะมีการถอดออกอย่างนุ่มนวล แต่บางครั้งอาจจะมีเลือดออกบ้างเล็กน้อย แต่ก็จะหยุดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากกดบริเวณแผลด้วยแผ่นผ้ากอซ การดูแลแผล จะได้รับคำแนะนำจากพลาบาลก่อนกลับบ้าน และจะมีการนัดหมายมา เพื่อตรวจติดตามผลต่อไป
6. การติดตามผลการรักษา (Follow-up)
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสำคัญ ที่ผู้ป่วยจะให้ข้อมูลถึงการฟื้นฟูตัวเอง และผลกระทบข้างเคียงที่อาจจะมี ตรวจค่า ฮอร์โมนต่อมลูกหมาก (PSA) ในกรณีรักษาต่อมลูกหมาก และอื่น ๆ นอกจากนั้น ก็เพื่อติดตามประสิทธิภาพการรักษา และให้ข้อมูลการรักษา เพื่อประกอบการพัฒนาปรับปรุงวิธีการรักษาถ้าจำเป็น และอาจมีการนำข้อมูลไปเผยแพร่ ในวารสารทางการแพทย์
ถอดความจาก http://www.cetmc.com/HDRbrachytherapy.html
โพสต์เมื่อ : 27 มกราคม 2555 |